วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Software : Enterprise Resource Planning (ERP)

อธิบาย Software : Enterprise Resource Planning (ERP) ว่ามีหลักการทำงานอย่างไรบ้าง โดยให้อธิบายตามข้อดังนี้
1. มีหน้าที่ในการทำงานอย่างไร แบ่งเป็นกี่ module และ แต่ละ module มีลักษณะการทำงานอย่างไร
            มีหน้าที่รวบรวมส่วนประกอบทางธุรกิจต่างๆ เช่น งานวางแผน (Planning) งานผลิต (Production) งานขาย (Sale) งานทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource) และงานบัญชีการเงิน (Accounting/Finance) ระบบขายหน้าร้าน POS แล้วเชื่อมโยงส่วนงานต่างๆเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้มีการใช้ข้อมูลร่วมกันจากฐานข้อมูลเดียวกัน มีการใช้กระบวนการที่เป็นมาตรฐานร่วมกัน (Common Processes) ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนการทำงานกระบวนการทางธุรกิจขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้ข้อมูลเดียวกันสามารถใช้ร่วมกันทั้งองค์กรได้ แบ่งเป็น 4 module
            1. โมดูลการจัดจำหน่าย Distribution or Logistics : ระบบที่เกี่ยวกับการซื้อ (วัตถุดิบ) และขาย (สินค้า) ต้องมีระบบ Purchasing (PU) และ Sale Order Processing (SO) บางซอฟแวร์อาจรวมถึงระบบบริหารคลังสินค้า (Warehouse Management) ด้วย หมวดนี้ถ้าซอฟแวร์ที่ดีจริงต้องรวมหมายถึง ระบบการจัดส่งแบบครบวงจรทั้งระบบ ไม่ว่า shipping การนำเข้าและส่งออก BOI ฯลฯ ด้วย จริงๆแล้วจุดประสงค์ของหมวดนี้ก็คือ ตัวซอฟแวร์ต้องบอกให้เรารู้ว่า วัตถุดิบที่สั่งมาจาก supplier ตอนนี้อยู่ที่ไหน เช่น อยู่ในขั้นตอนการสั่งซื้อ ลงเรือมาแล้ว อยู่ที่ท่าเรือ ฯลฯ หรือ สินค้าที่ส่งไปให้ลูกค้า ไปถึงเขาหรือยัง อยู่ที่ไหน ฯลฯ
            2. โมดูลด้านการผลิต (Manufacturing Module) - รวมขั้นตอนการทำงานของระบบการบริหารการผลิต ครอบคลุมระบบงานด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การวางแผนการผลิต การจัดการใบสั่งผลิต การส่งมอบสินค้าให้ลูกค้า การคิดต้นทุนการผลิต
            3. โมดูลด้านบัญชีการเงิน (Account / Financial Module) รวมขั้นตอนการทำงานของระบบการทำบัญชีและบริหารการเงินไว้ด้วยกัน เพื่อให้แน่ใจบัญชีการจ่ายเงินต่างๆ ถูกจ่ายแล้ว และบัญชีการรับเงินถูกต้องและตรงเวลา รวมถึงการบริหารองค์กรในด้านการบัญชีและการเงินในทุกๆ ส่วนด้วย
            4. โมดูลด้านทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Module) โปรแกรมที่จำเป็นสำหรับงานบริหารบุคคล สำหรับผู้บริหารและพนักงาน โมดูลทรัพยากรบุคคลจะเป็นโมดูลที่มีความสัมพันธ์กับความสำเร็จและความล้มเหลวของระบบ ERP น้อยที่สุด โดยเฉพาะในประเทศไทย
2. ในปัจจุบันมีบริษัทใดที่ให้บริการ software ประเภทนี้อยู่บ้าง โดยให้ยกตัวอย่าง บริษัทที่ขาย ERP พร้อมทั้งอธิบายรายละเอียดการทำงานของบริษัทนั้น มาอย่างน้อย 3 บริษัท ส่งใน google blogger ภายในวันที่ 2/12/56 
            1. SAP เป็นบริษัทซอฟต์แวร์ที่ใหญ่ที่สุด ของยุโรปและใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมือง Walldorf ในประเทศเยอรมนี. ระบบ SAP ประกอบด้วย หลาย module ของแต่ละส่วนของการจัดการที่เอามารวมกันและทำงานร่วมกัน เนื่องด้วยตลาดและความต้องการของลูกค้าเป็นตัวกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงของระบบ มีบริษัท software ที่พยายามสร้างโปรแกรมที่สนับสนุนแต่ละส่วนของธุรกิจ ในขณะที่ SAP พยายามสร้าง software ที่เหมาะสม กับทุกธุรกิจ SAP โดยให้โอกาสเลือกใช้แค่ระบบเดียวแต่สามารถทำงานได้กับทุกส่านของธุรกิจ ทั้งยังสามารถติดตั้ง R/3 application มากกว่า 1 ตัวเป็นการเพิ่มความเร็วในการทำงาน SAPมีหลาย Module มีหน้าที่ที่ต่างกัน แต่ทำงานร่วมกัน เป็นหนึ่งเดียว (แต่ละ Module คือแต่ละส่วนของธุรกิจ) ผลิตภัณฑ์SAPมี 2 กลุ่ม คือ SAP R/2 ใช้สำหรับเมนเฟรม SAP R/3 ใช้กับระบบ Client/server ผลิตภัณฑ์ของเอสเอพีเน้นไปที่ ERP ซึ่งบริษัทเป็นผู้บุกเบิก ผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทคือ SAP R/3 โดยตัว "R" หมายถึง "realtime data processing" (การประมวลผลข้อมูลแบบเวลาจริง) ส่วน "3" หมายถึง สถาปัตยกรรมโปรแกรมแบบ 3 ชั้น (three-tier) : ฐานข้อมูล, แอปพลิเคชันเซิร์ฟเวอร์ และ ไคลเอนต์ (SAPgui). โดยผลิตภัณฑ์รุ่นก่อนหน้า SAP R/3 คือรุ่น R/2 Module SAP ที่เป็นที่รู้จักกันคือ SD (Sales and Distribution) เป็นโปรแกรมเกี่ยวกับการบันทึกการขาย และให้บริการ MM (Materials Management) เป็นโปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมสินค้าคงคลัง การสั่งซื้อสินค้า FI (Financial Accounting) เป็นโปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับการบันทึกตัวเลขทางบัญชี การทำงบประมาณ รายงานทางการเงินต่างๆ CO (Controlling) เป็นโปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับรายงานต่างๆในการดำเนินงาน ข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์
            2. Oracle บริษัท ออราเคิล คอร์ปอเรชั่น ซึ่งก่อตั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นผู้นำของโลก ในด้านซอฟต์แวร์ เพื่อการบริหารข้อมูล ก่อนหน้านี้ ผลิตภัณฑ์ของ ออราเคิลในประเทศไทย จัดจำหน่าย โดยผ่านช่องทางการจำหน่ายแบบโออีเอ็ม (OEM) และภายใต้สัญญาที่ทำร่วมกับบริษัทผู้แทนจำหน่ายชั้นนำ ในปัจจุบัน บริษัทฯ รายงานตรงต่อ บริษัท ออราเคิล คอร์ปอเรชั่น ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิคในประเทศสิงคโปร์ Oracle Applications ERP ที่สามารถใช้งานบนอินเตอร์เน็ตได้อย่างเหมาะสม ซึ่งประกอบไปด้วยการใช้งานมากกว่า 45 modules สำหรับ front office, manufacturing, supply chain management, financials, projects, human resources, และอื่นๆ ซึ่งจะช่วยสร้างความสามารถในการทำงานอย่างอัตโนมัติโดยรวมทั้งหมด
            3. QAD QAD เป็นผู้นำทางด้าน E-Business Solution สำหรับธุรกิจการผลิตจัดจำหน่ายสินค้า ก่อตั้งในปี 1979 มี software ทางERP ชื่อ MFG/PRO ซึ่งสามารถใช้งานร่วมกับฐานข้อมูลของ Oracle และรับได้บนระบบปฏิบัติการ Unix, Windows, Windows NT และทาง Web Site Application ของQAD จะแบ่งได้เป็น
1. Core Enterprise ซึ่งก็คือ software MFG/PRO เป็น software ที่จัดการทางด้านระบบ ERP ขององค์กรทั้งทางด้าน Manufacturing, Distribution and Financial
2. Supply Chain
3. E-Commerce
4. Customer Relationship Management(CRM)
5. Business Intelligence
6. Key Supporting Application
ซึ่ง Application ตัวที่ 2-6 นี้จะเป็น Application ที่Run บน MFG/PRO เพื่อเสริมการทำงานของ MFG/PRO ให้ทำงานเฉพาะด้านได้ดียิ่งขึ้น
3. สรุปข้อดี ข้อเสียของ software ที่บริษัทต่างๆให้บริการตามที่เราหามา โดยในการสรุปให้เขียนจากข้อสรุปของตัวเอง
            1. SAP ข้อดีคือสามารถทำงานได้มากที่สุดและครอบคลุมที่สุด ช่วยลดขั้นตอนการทำงานและจำนวนคนที่ทำงานลงอย่างมาก แต่มีข้อเสียในเรื่องการใช้งานที่ค่อนข้างยาก อาจเป็นเพราะข้อจำกัดในเรื่องภาษา
            2. Oracle ข้อดีสามารถใช้งานบนอินเตอร์เน็ตอย่างเหมาะสมมีหลากหลายโมดูลการทำงานสร้างความสามารถในการทำงานอย่างอัตโนมัติ ข้อเสียคือราคาค่า license และ ราคาค่า Implement แพงมาก
            3. QAD ข้อดีคือจะเป็นผู้นำทางด้าน E-Business Solution สามารถใช้งานร่วมกันกับฐานข้อมูลของ Oracle รันได้บนระบบปฏิบัติการ Unix, Windows และ Web Site ข้อเสียคือมีความล้าหลังในเรื่องของ Version และ Database

น.ส.นฤมล บัวเผื่อนหอม 115310505308-2 สสค.4/53-A


วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Big Data คืออะไร ??

Big Data นั้นถ้าแปลเป็นไทยคงจะเป็น "อภิมหาข้อมูล หรือ ข้อมูลที่มากมายมหาศาล"  ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเนื่องจากในปัจจุบันด้วยพัฒนาการของเทคโนโลยีและระบบต่างๆ ทำให้องค์กรมีการเก็บข้อมูลต่างๆ อย่างมากมายมหาศาลแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และองค์กรที่ให้ความสำคัญกับข้อมูลเหล่านี้ก็ย่อมรู้จักที่จะใช้หรืออภิมหาข้อมูลเหล่านี้มาใช้ในการตัดสินใจเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กร ซึ่งมีงานวิจัยชี้ออกมาแล้วว่าองค์กรที่ให้ความสำคัญกับข้อมูลในการตัดสินใจ หรือ เป็นลักษณะ Data-Driven นั้นจะมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าองค์กรที่ไม่ได้ให้ความสำคัญแก่ข้อมูล ข้อมูลที่องค์กรทุกแห่งเก็บเป็นปกติอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นตัวเลขทางด้านการเงิน ตัวเลขทางด้านการดำเนินงาน ข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้า ข้อมูลเกี่ยวกับพนักงาน หรือ ข้อมูลในระบบ ERP ระบบฐานข้อมูล ระบบ Warehouse ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นแหล่งสำคัญของเจ้า Big Data ทั้งสิ้น ที่สำคัญคือปริมาณของข้อมูลเหล่านี้กลับทวีปริมาณมากขึ้นทุกขณะ นอกจากนี้แหล่งของอภิมหาข้อมูลในปัจจุบันก็มาจากแหล่งที่เราคาดไม่ถึงกันมากด้วย ไม่ว่าจะมาจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งโทรศัพทSmartphone ส่วนใหญ่ต่างมีระบบ Location-Based Services ทั้งสิ้น และแหล่งสำคัญสุดท้ายสำหรับเจ้าอภิมหาข้อมูลคือบรรดา Social Networks

Cloud Computing ถือว่าเป็นการตอบโจทย์ทั้งด้านความต้องการของผู้ใช้และทรัพยากรที่จำกัด เช่น ผู้ใช้งานระบบต้องการพื้นที่ในการเก็บข้อมูล ความเร็วในการประมวลผล และติดต่อลูกค้า Cloud computing จะเข้ามาทำการประมวลผลตามความต้องการทั้งเรื่องของพื้นที่ และสามารถจำกัดความเร็วในการประมวลผลให้ตรงความต้องการของผู้ใช้งานที่ร้อง ขอไป โดยให้คอมพิวเตอร์ที่ทำงานร่วมกัน เชื่อมโยงและแบ่งกันประมวลผล ซึ่งคอมพิวเตอร์ที่ร่วมประมวลผลหลายๆ เครื่องไม่จำเป็นต้องตั้งอยู่บริเวณเดียวกัน แต่เชื่อมต่อกันผ่านระบบเครือข่าย คอมพิวเตอร์ที่ประมวลผลในกลุ่มที่เราเรียกว่า Cloud นี้ อาจจะเป็นคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้มีระบบปฏิบัติการและทรัพยากรเหมือนกัน และหน้าจอของผู้ใช้งาน (User Interface) จะแสดงผลที่รวดเร็วตามความต้องการของระบบที่ร้องขอไป โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องรู้ว่า เบื้องหลังนั้นระบบจะทำงานกันอย่างไร